https://timeline.line.me/post/_dWaNL0EExeNZLuIP8dfGUSd1ePNS6jsoe2LHnk8/1155295389110068086

#คณะครูบาอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ #ภูเขาควาย #สปปลาว " ภู เ ข า ค ว า ย " " พ ร ะ บั ง บ ด " " #ภูเขาควาย สุดยอดสถานที่บำเพ็ญภาวนา" จากการเดินทางจาริกไปของท่านพระอาจารย์มั่น ยิ่งเป็นที่รับรองว่า "ภูเขาควาย"เป็นสถานที่เหมาะสม ในการบำเพ็ญเพียรอย่างที่สุด เพราะท่านจะให้ศิษย์ชั้นหัวกะทิไปลองปฎิบัติภาวนา ในภูเขาควายแทบทุกรูป เรียกได้ว่าศิษย์คนไหน เคยได้ไปภาวนาผ่านด่านภูเขาควายมาแล้ว แสดงว่าต้องไม่ธรรมดา ทั้งนี้กล่าวขานกันว่ามีสิ่งแปลกๆ ที่เข้ามาทดสอบจิต เช่นเสือ หมีควาย งูจงอาง รวมไปถึงภูตผีปีศาจและเทวดา ท่านใดที่มีจิตเข้มแข็งฝึกมาดีแล้ว จะถูกส่งขึ้นไปเพื่อทดสอบสภาวจิต และปรากฎพบว่าหลายท่าน ต่างก็ได้สภาวะธรรมกลับมาเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงภูเขาควายจะเป็นสถานที่วิเวก สงัดจากการรบกวนของมนุษย์แล้ว ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์เล่าว่าเป็นที่อาศัยอยู่ ของพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา พระฤาษี สิทธาดาบสจำนวนมาก เมื่อท่านเหล่านั้นได้มาบรรลุธรรม บารมีธรรมต่างๆ จึงซึมซับลงในแผ่นดินหล่อเลี้ยงพลังอำนาจ คุณวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ เอื้ออำนวยต่อการบำเพ็ญภาวนาแก่ทุกดวงจิตที่เข้าไปสัมผัส หากผู้ใดปฎิบัติจนสามารถเข้า #สมาธิ ได้ ก็จักเป็นการต่อยอดให้เจริญก้าวหน้าในการบำเพ็ญภาวนา ในชั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป บางท่านอาจเกิดหัวข้อธรรม ได้พบเห็นสัจจธรรมความจริงตามที่วาสนาเคยสั่งสมอบรมณ์มา เนื่องจากภูเขาควายมีกระแสพลังงานทางจิตที่แรงมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่ตั้งใจเข้าไปบำเพ็ญสมณธรรม ก็จักสามารถสงบจิตรวมลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นผู้แสวงหา วิโมขธรรมในครั้งอดีตจึงนิยมเข้ามาพักภาวนากัน มากกว่าสถานที่อื่นๆ ภูเขาควายยังคงเป็นดินแดนแห่งมนต์ขลัง มาจนถึงทุกวันนี้ คงเชื่อกันอยู่ว่าภายในภูเขาควายแห่งนี้ ยังมีพระอริยเจ้าที่ซ่อนตัวบำเพ็ญโปรดสัตว์โลกบรรเทาภัยพิบัติต่างๆ รวมไปถึงมหาฤษีผู้ทรงฌานสมาบัติมีอายุนับพันๆปี แม้กระทั้งเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดรก็ยังเป็นส่วนหนึ่ง ของตำนานเล่าขานในภูเขาควาย!นอกจากนั้นภูเขาควาย ยังเป็นแหล่งที่รวมเอาทรัพยากรธรรมชาติต่างๆที่หาได้ยาก เช่นว่านยา เหล็กไหล ไพรดำ ปรอท ฯลฯ ครบหมดทุกอย่างยากจะหาสถานที่ใดมาเทียบได้ เเละชาวบ้านทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาวยังเชื่อว่ามีพระบังบด ที่บำเพ็ญภาวนาบนภูเขาควายแห่งนี้ด้วย " พ ร ะ บั ง บ ด " หลวงพ่อครับ พวกเราเริ่มเดินทางในวันที่ 1 พย.2555 มีพระสงฆ์ 3 รูป, สารถีแก้ว, ฝังลี่และลีน่า รวม 6 ชีวิต โดยออกจากวัดพระธาตุจมน้ำ อ.เมือง จ.หนองคาย เวลา 9.00 น. ซึ่งตลอดทางนักศึกษาทั้งสองคนจะนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในรถ ไม่วอกแวกดูนั่นดูนี่เลยครับ ในช่วง 3 กิโลเมตรก่อนถึงวัดอาฮงศิลาวาส สองข้างทางเป็นป่า เพราะเป็นเขตป่าสงวน ถ้ามองไปทางขวามือ จะเห็นภูเขาอยู่ไกลๆ ซึ่งในช่วงนี้ ไม่มีบ้านคนเลยแม้แต่หลังเดียว แล้วนานๆ ถึงจะมีรถวิ่งสวนมาสักคันครับ พอรถขับไปเรื่อยๆ ปกติถ้ามีคนหรือมีอะไรอยู่ข้างหน้า เราจะต้องมองเห็น ตั้งแต่ในระยะไกลแล้ว แต่แปลกมากครับเพราะจู่ๆ ผมกลับมองเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งในระยะกระชั้น ท่านกำลังเดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกันกับพวกเรา แต่ท่านเดินอยู่ อีกฝั่งของถนน แต่ก็ไม่ไกลมากเพราะเป็นถนนแค่สองเลน แว๊บแรกที่เห็นท่าน ผมรู้สึกว่านี่แหละพระธุดงค์ของแท้เลย ผมเคยเห็นพระธุดงค์มาเยอะ แต่รูปนี้ดูสง่างาม ไม่เหมือนกับที่เคยเห็นมาเลยครับ ขนาดผมเป็นพระ ยังรู้สึกเลื่อมใสขึ้นมาทันที จึงหันไปคุยกับนักศึกษาทั้งสองคนว่า นั่นเป็นพระธุดงค์แท้แท้ นักศึกษาทั้งสองจึงดีใจมาก ขอให้รถหยุดจะลงไปใส่บาตรครับ แต่บอกกันกระทันหัน รถเลยเบรคไม่ทัน สารถีจึงต้องถอยรถเพื่อให้ทั้งสองคนได้ใส่บาตร ทั้งสองคนเตรียมปัจจัย 1,000 บาทใส่ซอง ผมเลยบอกให้เอาภัตตาหารบางส่วนของผมไปใส่บาตรท่านด้วย ซึ่งตอนนั้น เป็นเวลาประมาณ 10.45 น. ตอนนั้นผมไม่ได้ลงไปกับนักศึกษาด้วย เพราะยังไม่คิดเอะใจอะไร อีกอย่างก็เป็นพระเหมือนกันครับ แต่ในระหว่างนั้น ผมสังเกตอากัปกิริยาของพระธุดงค์โดยตลอด ท่านดูนิ่ง สงบเสงี่ยม สง่างามมากๆ ผมรู้สึกว่าเวลาท่านเดิน จะว่าเร็วก็ไม่เร็ว จะว่าช้าก็ไม่ช้า จะบอกว่าเหมือนลอยๆ มาก็ว่าได้ครับ เพราะปกติเวลาคนเดินต้องมีอาการตัวโยกไปมา ต้องมีจังหวะของการเดิน แต่ท่านดูนิ่ง แต่ไปได้เร็ว ซึ่งแปลกมากที่พอนักศึกษา 2 คน ข้ามถนนไปถึงปั๊บ ท่านก็เดินมาถึงตัวนักศึกษาพอดี ซึ่งมันไวมาก คือถ้าเป็นระยะขนาดนั้นผมคงต้องจ้ำอ้าวน่าดูครับ ตอนนั้นผมเอากล้องให้สารถี ตามไปถ่ายรูปให้กับนักศึกษา เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วยครับ พอกำลังจะใส่บาตร ในช่วงที่ท่านเปิดฝาบาตร ผมยังนั่งมองท่านจากในรถ ใจผมก็นึกอยากเห็นว่าผิวพรรณของท่านจะเป็นยังไง เลยจ้องดูตลอด พอท่านเปิดฝาบาตร ผมเห็นแขนท่านขาวผ่องมากเลย ผมเห็นชัดมากครับ ซึ่งผมเองก็แปลกใจว่าในระยะที่มองลงมาจากรถ ไม่น่าจะเห็นแขนท่านได้ชัดขนาดนี้ได้ แต่ผมก็มองเห็นชัดจริงๆ ครับ พอใส่บาตรเสร็จทุกคนก็เดินกลับมาที่รถ ช่วงนั้นฝังลี่และเพื่อนยังหัน กลับไปมองท่านเป็นระยะ ผมซึ่งนั่งอยู่ในรถก็ยังไม่ได้ละสายตา ไปจากท่าน จึงเห็นว่าท่านเดินหันหลังกลับ แล้วในจังหวะที่รถกำลังจะเคลื่อนตัวออก ฝังลี่และลีน่าก็ร้องตกใจ เหมือนจะพูดว่าอะไรหายไป ผมเลยหันกลับไปดู ปรากฏว่าพระธุดงค์รูปนั้นหายไปแล้วครับ ทุกคนก็แปลกใจว่า ทำไมท่านหายไปไหนเร็ว แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไรมาก และเดินทางต่อไปจนถึง วัดอาฮงศิลาวาส พอไปถึงนักศึกษาทั้ง 2 คน ก็ได้นั่งสมาธิ เสร็จแล้วจึงได้ก้มกราบภูเขาควาย หลังจากนั้น พวกเราจึงได้ทบทวนเรื่องที่ได้พบพระธุดงค์ ฝังลี่พยายามสื่อสารให้ผมฟัง โดยชูแขนของเธอขึ้น และบอกว่าผิวของพระธุดงค์เหมือนเด็ก และหน้าก็เหมือนเด็ก สารถีก็ยืนยันว่าผิวที่แขนท่านผ่องมาก และบอกอีกว่าพอใส่บาตรเสร็จ ท่านให้พรบทอภิวา... เสียงไพเราะมาก ไม่มีหอบเหนื่อยสั่นเครือเลย แล้วสายตาท่านจะหลบต่ำอยู่ตลอดเวลา สารถีพยายามจะมองหน้าท่าน ชัดๆ ก็เห็นได้แค่เสี้ยวเดียวเหมือนรูปที่ถ่ายมาครับ ซึ่งจริงๆ แล้วสารถีถ่ายรูปไว้เยอะเลยครับ แต่แปลกมากที่พอตอนหลัง มาดูรูปกัน กลับมีภาพให้เราเก็บเอาไว้ปลื้ม เพียงแค่ 3 ภาพเท่านั้นครับ ซึ่งทุกคนก็ยืนยันตรงกันว่าพระธุดงค์รูปนั้นต้องไม่ใช่พระธรรมดาๆ แน่นอน เหตุอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจริง ทำให้ฝังลี่มีแรงบันดาลใจที่จะนั่ง สมาธิและรักษาศีล 5 ตลอดไป โดยได้เข้ามากราบผม และสมาทานศีล 5 ก่อนที่จะบินกลับเซี่ยงไฮ้ด้วยครับ หลังจากเสร็จภารกิจที่หนองคาย ผมก็บินไปอินเดีย และมีโอกาสได้ไปพักที่วัดลาวในอินเดีย ผมเลยเอารูปพระธุดงค์ให้ หลวงพ่อเจ้าอาวาสที่วัดลาวดู ท่านบอกว่าต้องใช่พระบังบดแน่นอน เพราะถ้าเป็นพระธุดงค์ธรรมดาที่ต้องเดินบุกป่าฝ่าดง มือและเท้าจะไม่ดูสะอาดสะอ้านขนาดนี้ แถมจีวรที่สวมอยู่ ดูเนื้อผ้าหนามาก เหมือนผ้าโบราณที่เย็บย้อมด้วยมือ แล้วท่านก็เมตตาเล่าเรื่องภูเขาควายให้ฟังว่า ท่านเคยไปพัก อยู่ที่วัดภูกระดึงใกล้ๆกับภูเขาควาย หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดภูกระดึง บอกว่า บนภูเขาควายมีพระบังบดอยู่ เพราะจะได้ยินเสียงสวดมนต์ ได้ยินเสียงตีโปงทุกวัน มีชาวลาวเคยมองไปที่ภูเขา เห็นพระเดิน บิณฑบาตมาแต่ไกล ลงมาจากภูเขาควายเป็นสายยาวมาก พอถึงทางแยกก็แยกออกเป็นสายๆ แต่ถ้าเป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ เสียงสวดมนต์จะดังชัดเหมือนมีพระมีคนอยู่เยอะ ดังเหมือนเวลาที่วัดพระธรรมกายมีงานบุญเลย และเคยมีทหารพาคนขึ้นไปจนถึงยอดเขา ซึ่งกว่าจะเดินถึงยอด ต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมง แต่ไปถึงแล้วก็ไม่เห็นวัด ไม่เห็นพระ เห็นมีแต่ป่าและลานหินครับ หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดภูกระดึงยังบอกอีกว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ไปที่ภูเขาควายแล้วจะเห็น #พระบังบด ได้ ต้องผู้มีบุญเท่านั้นครับถึงจะเห็น เรื่องพระบังบดบนภูเขาควาย จึงเป็นตำนานเล่าขานที่ได้ฟังกี่ทีๆ เป็นปลื้มทุกทีครับ 1.ปกิณณกธรรม (จากพระรัตตัญญูแห่งเชิงภู) -คนมีธรรม..บ่กระทบ คนไม่มีธรรม..จะฆ่ากันเอง (กล่าวถึงเรื่องสงครามศาสนา) -แต่ก่อนคนลาวนับถือผี ท่านก็ไปช่วยเค้า โดยโปรดเค้าให้มานับถือสัมมาทิฏฐิแทน อานิสงส์การแผ่เมตตา ​ท่านเล่าในทำนองว่า ทำให้แคล้วคลาดไม่ต้องพบเจอกับสิ่งเลวร้าย โดยท่านยกตัวอย่างว่า หากมีคน(ที่คิดปองร้าย) ก็จะหาเราไม่เจอ เช่นว่า มีเหตุให้เราไปสรงน้ำอีกที่นึง พอเค้ามาหาเรา จึงไม่เจอ (พูดง่ายๆ คือ คลาดกันตลอด) วิธีนึกแผ่เมตตา ถ้าเรามีเมตตา ให้แผ่ซึมซาบเข้าในจิตของสัตว์ (ทำให้)ใจเราจะอ่อนโยนขึ้น และให้เผื่อแผ่คิดถึงเพื่อให้สู(ผู้ที่เราแผ่ให้)รับรู้ความอ่อนไหว(อ่อนโยนของเรา) ว่าเราบ่ได้คึด(คิด)ร้าย น้ำที่ภูควาย ไม่เป็นกำมะถัน ดื่มได้เลย -ในสมัยโบราณ มีดาบสออกมาให้เห็นกันเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ออกมากัน และยังเคยมีพระเหาะมาถึงกรุงเทพ มาบิณฑบาตเงาะ,ทุเรียนบ้าง -พระ(ที่ภูควาย)จะฉันเรียบง่าย เช่น งาป่นห่อใบตอง หรือฉันกล้วยหน่อยเดียวก็อิ่ม - ท่านบอกว่าได้เจอ(ใครคนหนี่ง) แต่ในนิมิตเท่านั้น บ่เคยคุยกัน - หลวงปู่ท่านเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องพืชสมุนไพรมาก (ใครคนหนึ่ง)มีขาที่บวมดำอยู่ ท่านบอกว่า ให้เอาผักบีเอี้ยน(ภาษาลาว)มาต้มกิน (ขา)จะยุบ - ภาพพระธุดงค์ที่ถูกถ่ายติดในกล้องวงจรปิด ท่านบอกว่า พระรูปนั้นคือหลวงปู่กงจักร อยู่ที่ภูโป่ง ทางใต้เมืองปากเซ ประเทศลาว อายุเกือบพันปี ท่านยังบอกรูปลักษณะอีกด้วยว่าเป็นองค์ผอมๆ ​ได้ถามท่านอีกว่า ท่านเข้ามาวัดได้อย่างไรครับ ทะลุกำแพงมาหรือมุดดินมา ท่านก็ตอบว่า “ท่านก็เดินมาปกตินี่ล่ะ เดินผ่านคนกลุ่มนั้นมาเลย เพียงแต่ท่านทำ(ฤทธิ์)ไม่ให้พวกเค้าเห็นได้” หากอยากเจอท่านต้องทำอย่างไรครับ “ก็นึกอธิษฐานให้เจอท่าน” -จะมีคนมาช่วยศาสนา ส่วนเราให้ปฏิบัติธรรมตามหลวงพ่อใหญ่(สอน)ไว้ คนที่จริงใจมีเยอะ คนมีพิษมีภัย เดี๋ยวก็จะหายไปเอง คนดีจะมาช่วย ให้เราภาวนายิ่งขึ้น มีโอกาสให้ถือศีลแปด มีโยมมาถามท่านเกี่ยวกับการชูป้ายคัดค้าน ท่านบอกว่าการชูป้ายนั้น ให้ใช้ที่คำที่เป็นธรรมะได้ อย่าใช้คำรุนแรง การใช้ความรุนแรง เค้าจะยิ่งทวีความรุนแรงเช่นกัน ​ ให้ใช้ “ธรรมาวุธ” เป็นเครื่องมือทำให้ดีขึ้น.... -มีผู้ถามท่านว่า พระบังบดได้มาที่นี่กันเยอะมั้ยครับ ท่านตอบว่า “มาบ่หลาย แต่ฤทธิ์เพิ่นแรง” (มาไม่เยอะ จำนวนหลักสิบ แต่ฤทธิ์ของแต่ละองค์ก็แรงกันทั้งนั้น) -ได้นำภาพเหตุการณ์สมัยก่อนที่มีพระเวียดนามเผาตัวตายประท้วงให้ท่านดู แล้วถามท่านว่า ที่ท่านทำอย่างนี้ถูกหรือไม่ครับ ท่านก็ตอบสั้นๆ ทันทีว่า “บ่ถูก จะต้องเผาตัวตายไปอีกห้าร้อยชาติ” แล้วมีผู้ถามต่อว่าเป็นอัตวินิบากกรรม(ฆ่าตัวตาย) หรือไม่ครับ ท่านก็ตอบรับว่าใช่ แล้วก็เรียนท่านอีกว่า พระเวียดนามท่านนั่งนิ่งเลยครับ ไม่ร้อนทรมาน ท่านก็เสริมว่า “ท่านเข้าสมาธิ” แล้วอย่างนี้เป็นปรมัตถบารมีมั้ยครับ ท่านตอบมาว่า “ถ้าจำเป็น”( หมายถึงว่าต้องถึงคราวจำเป็นจริงๆ ถึงจะทำได้) “มันต้องเป็นการสละชีวิต” (หมายถึงมุ่งไปเพื่อสละยกให้เป็นทานเท่านั้น ไม่ได้มุ่งหมายอยากจะตาย หากเปรียบเทียบกับเรื่องราวพระไตรปิฎกที่พระมังคลโพธิสัตว์เอาร่างกายตนแทนประทีปเพื่อบูชาพระเจดีย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้จิตท่านมุ่งที่จะบูชาบุคคลที่ควรบูชาเป็นใหญ่นะครับ ไม่ได้คิดมุ่งให้ตนเองตาย ซึ่งไม่เหมือนอย่างการเผาตัวตายประท้วงแบบนี้) ได้ถามว่า หลวงปู่โลกอุดรเป็นคนไทยหรือคนลาว ท่านตอบมาว่า “คนไทย” ถามต่อว่าอยู่ไหนครับ ท่านตอบว่า “อยู่เขาแถวๆ นี้” -ให้เอาน้ำค้างทาตัว(เสมอๆ) (ประโยชน์น้ำค้าง คือ) ทำให้เลือดวิ่งดี และเป็นยาแก้อัมพาตได้ และได้ถามท่านต่อว่า ดื่มได้มั้ยครับ ท่านตอบว่า “ดื่มได้” หมายเหตุ แนะนำว่าน้ำค้างที่ภูเขาต่างจังหวัด จะน่าดื่มกว่าน้ำค้างในเมือง เพราะในเมืองมีสารพิษมากมาย อีกประการหนึ่ง ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันด้วยว่า น้ำค้างมีประโยชน์จริง คือ น้ำค้างจะบริสุทธิ์กว่าน้ำธรรมดา และน้ำค้างยังช่วยเติมออกซิเจนในเลือดให้คุณภาพเลือดดีขึ้น เมื่อเลือดดี ทั้งร่างกายก็ดีตาม เช่น หากเลือดที่ดีถูกส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง ก็ทำให้ศีรษะโล่งสบาย เป็นต้น :

Comments