คุณธรรมข้อที่ 12 รักการประพฤติพรหมจรรย์
สมัยเริ่มสร้างวัด ก่อนที่จะมีศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม มีคนกล่าวว่า "บ้านยายจันทร์น่ะเหรอ มีแต่หนุ่มสาว จะไปสร้างวัดอะไรสำเร็จ" ตอนนั้นมีแต่นักศึกษา อยู่ในวัยหนุ่มสาว เขาก็เลยไม่เชื่อ ดังนั้นคุณยายจะเข้มงวดเรื่องการประพฤติพรหมจรรย์มากๆ เพราะถ้าไม่เข้มงวดเรื่องนี้ การสร้างบารมีก็ไม่สำเร็จ
เมื่อคุณยายย้ายจากวัดปากน้ำมาศูนย์พุทธจักรฯ ตอนนั้นมีหลวงพี่บวชหลายรูปแล้ว ท่านจะมาฉันข้าว ที่ครัวยามา เด็กวัดจะนั่งอยู่ถัดออกมา คุณยายก็ฉันข้าวที่ครัวยามาเหมือนกัน พอตอนเช้าพระเริ่มฉัน คุณยายจะเดินมาพูดเสียงดังๆ ให้ทั้งพระและเด็กวัดได้ยินว่า "เนี่ยนะ ยายทำบุญ ยายอธิษฐานทุกวันเลยว่า เกิดไปกี่ภพกี่ชาติจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน ขอให้ยายได้เกิดเป็นเพศชายได้บวชบำเพ็ญพรตประพฤติพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิตทุกๆ ชาติ อย่าให้ต้องไปแต่งงานเลย ไม่ต้องไปครองเรือนเลย ขอให้ไม่ยินดีในเพศตรงข้าม ให้ยินดีแต่เพศพรหมจรรย์" คุณยายพูดอย่างนี้ทุกๆ วัน เป็น 10 ปี จนกระทั่งหลวงพ่ออายุเกิน 40 ปีไปแล้ว คุณยายบอกว่า "เลข 4 ไม่เป็นไร หนังเริ่มเหี่ยวแล้ว" จึงเลิกพูด
ถ้าเด็กวัดเกิดปิ๊งใครขึ้นมาในใจ ท่านจะเดินไปเฉียดใกล้ๆ แล้วพูดว่า ยายอธิษฐานอย่างนี้ทุกวันเลยนะ จนคนนั้นเลิกคิด คุณยายย้ำอีกว่า "ถ้าเรายังไม่แต่งงาน ยังเป็นโสด เวลาเราทำบุญ มี 100 บาท เราทำได้ 100 บาท เมื่อไรเรามีแฟนก็ทำได้ 50 บาท พอมีลูก 1 คน ก็เหลือ 20 บาท พอมีลูก 2 คน ไม่ต้องทำเลยเพราะไม่มีเงินเหลือ
คุณยายสอนว่า "พวกเราก้าวเข้ามาในวัดแล้ว เราเหมือนเข้ามาในสมรภูมิรบ" คือ รบกับกิเลสในตัวเราเอง ต้องอดทนเดินหน้าสร้างความดีอย่างเดียว ถ้าหากถอยหลังออกไปจากวัด โอกาสจะสร้างบารมีก็ลดลง ชีวิตก็จะตกต่ำลง เพราะว่าหมู่คณะเราสร้างบารมีรวดเร็ว เหมือนรถด่วนขบวนสุดท้าย คือ ตั้งแต่เริ่มหลวงพ่อก็วางแผนแล้วก็สร้างบุญตลอด ถ้าใครไม่ได้มาวัดสักเดือนหนึ่ง เมื่อกลับมาอีกครั้งจะจำไม่ได้เลย ยิ่งปีหนึ่งกลับมายิ่งรู้สึกผิดหูผิดตา
การที่เราได้อยู่บนรถด่วนขบวนสุดท้าย เราจะอยู่ข้างหน้า ข้างหลัง หรือตรงกลาง เราได้บุญไปด้วยกันหมด จะถึงพร้อมกัน เพราะฉะนั้นเราต้องเกาะกันไปให้ดี อยู่กันเป็นทีม อย่าให้หลุดออกไป
สำหรับผู้หญิง เราเป็นเพศที่อาภัพ เพราะเราเกิดด้วยกรรมกาเมฯ การสร้างบารมีของเราไม่สะดวกสบายเหมือนอุบาสกหรือพระ เป็นเพศภาวะที่อ่อนแอ อารมณ์อ่อนไหวง่าย แปรปรวนง่าย น้อยอกน้อยใจง่าย
คุณยายเตือนเราว่า “ยายแก่แล้ว คนแก่ไปอยู่ที่ไหนไม่มีใครต้องการ เขาคิดแต่จะไล่ออกจากบ้าน ถ้าไม่มีความดีเพียงอย่างเดียว ไม่มีใครเขาต้องการ” ท่านเตือนให้เราสั่งสมความดีในขณะที่เรากำลังแข็งแรง ผู้หญิงพออายุมากจะใช้ปากเยอะ คือ
ขี้บ่น จู้จี้ จุกจิก มีเรื่องอิจฉาริษยา กำลังก็ลดลงทำอะไรก็ไม่ไหว ไม่มีใครอยากได้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ จึงต้องสร้างความดีไว้มากๆ แต่ถ้าพระภิกษุมีบาตรใบเดียว ท่านไปได้ทั่วโลก ยิ่งอายุมากเป็นหลวงตา ยิ่งมีคนศรัทธา
เมื่อญาติโยมเข้ามาวัด เขาต้องการกราบหลวงพ่อ อยากใกล้ชิดหลวงพ่อ แต่สมัยนี้ไม่มีโอกาสได้เข้าพบท่าน เขาจะคาดหวังจากเรา เพราะถือว่าเราอยู่เขตใน ใกล้ชิดหลวงพ่อมากกว่า เขาก็จะดูเราเป็นต้นแบบของการสร้างความดี ไม่เพียงแต่เราอยู่ในสายตาของญาติโยม แม้แต่เทวดาทั้งหลายทุกชั้นต่างก็จับจ้องมองเรา คอยอนุโมทนาและได้บุญไปด้วย เมื่อเราตัดสินใจเสียสละทุกสิ่งทางบ้านเข้ามาในวัดแล้ว ต้องทำตัวเป็นต้นแบบในการสร้างความดี ให้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตั้งใจให้ดี ให้ชีวิตเรามีเป้าหมาย อย่าให้หมดไปวันหนึ่งคืนหนึ่ง
การทำความดีของคุณยายไม่ใช่ทำเพียงวันเดียว เดือนเดียว หรือปีเดียว แต่ท่านทำทุกวัน ทำตลอดชีวิต ทำสม่ำเสมอเป็นปกติ เป็นนิสัย เป็นธรรมชาติของท่าน ชีวิตของท่านเป็นชีวิตที่มีคุณค่ามาก เป็นชีวิตของนักสู้ แต่ไม่ใช่สู้ด้วยกำลัง ไม่ได้สู้กับใครๆ ท่านสู้กับกระแสกิเลส เป็นชีวิตที่เกิดมาเพื่อสร้างบารมีอย่างเดียว
ใจของท่านเข้มแข็ง แข็งแกร่งประดุจเพชร บุญของคุณยายมหาศาล แต่ท่านไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างบุญจนถึงวาระสุดท้าย
ตลอดชีวิตคุณยายท่านกลัวว่า บุญจะน้อย ท่านจึงรักบุญ รักธรรมะ รักในการสร้างความดี คุณยายบอกเสมอว่า “พวกเราเกิดมาสร้างบารมีนะ เพราะฉะนั้นต้องสร้างความดีทุกอนุวินาที เพราะว่าชีวิตในเมืองมนุษย์สั้น เดี๋ยวก็วันเดี๋ยวก็คืน เดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว ยายเข้าวัดมาตั้งแต่อายุ 29 ปี ยังมีความรู้สึกว่า ยายยังได้บุญไปนิดเดียว”
ขอให้พวกเราได้ดำเนินตามรอยเท้าของคุณยาย มีคุณยายเป็นต้นแบบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการสร้างบารมี ได้ตามติดหลวงพ่อและมหาปูชะนียาจารย์จนกระทั้งถึงที่สุดแห่งธรรม อย่าให้ตกรถด่วนขบวนสุดท้ายนี้เลย สาธุ
Cr.หนังสือต้นแบบนักสร้างบารมี
Comments
Post a Comment